ชุดแต่งงานถือเป็นหนึ่งชุดที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผู้หญิงเรา มั่นใจได้ว่าทุกคนต้องการจะเป็นเจ้าสาวที่เปล่งประกายออร่าจับ หนึ่งสิ่งสำคัญก็คือการเลือกและลองชุดแต่งงานหรือที่เรียกว่าฟิตติ้ง เพราะเป็นเหมือนขั้นตอนแรกที่ช่วยให้เจ้าสาวได้รู้ความต้องการของตัวเองก่อนจะไปสู่ชุดแต่งงานในฝันที่ถูกใจทั้งสไตล์เข้ากับรูปร่างและบุคลิกของคุณเจ้าสาว

Lysbetha ขอนำประสบการณ์ที่เราได้พบเจอกับคุณเจ้าสาวมาแชร์ให้กับว่าที่เจ้าสาวได้รู้กันว่ากว่าจะ Say yes to the dress ได้นั้นต้องผ่านอะไรกันมาบ้าง

  1. เลือกสไตล์ชุดที่ชอบ

อย่างแรกเลยเจ้าสาวควรจะต้องทำการบ้านหารูปชุดและสไตล์ที่ตัวเองเห็นแล้วว้าวสักสองถึงสามแบบ แล้วนำมาปรึกษากับสไตลิสต์ที่ร้านเพื่อแชร์ความคิดเห็นกันก่อนที่จะเริ่มลองชุด สังเกตว่ารูปร่างตัวเองว่าเป็นอย่างไร ในชีวิตประจำวันใส่ชุดสไตล์ไหนแล้วสวย มีจุดเด่นที่ตรงไหน และมีจุดบกพร่องอะไรที่อยากจะแก้ไข ยกตัวอย่าง เช่น เจ้าสาวบางคนมีหน้าอก เอวเล็ก สะโพกผายและไม่มีหน้าท้อง รูปร่างทรงนาฬิกาทรายแบบนี้จะใส่ชุดทรงเมอร์เมดเข้ารูปสวยมาก หรือเจ้าสาวบางคนไม่มั่นใจเรื่องเรียวแขนเมื่อได้ใส่ชุดที่อำพรางจุดด้อยได้ก็จะมั่นใจขึ้นมาทันที

2. ลองชุดที่ที่คิดว่าใช่ และลองเสี่ยงกับตัวเลือกที่ยังไม่แน่ใจ

แน่นอนว่าเจ้าสาวหลายคนต้องมีชุดในใจที่คิดว่าใช่แน่ๆ สไตล์นี้ฉันใส่แล้วสวยให้ลองใส่ตัวที่ใช่ในความคิดของตัวเองเพื่อดูผลลัพธ์ว่ามันใช่จริงมั้ยเข้ากับรูปร่างของเราจริงๆ รึเปล่า และที่สำคัญใส่แล้วมีความรู้สึกอย่างไร บางชุดสวยแต่ใส่แล้วอาจจะมีน้ำหนักมากหน่อยด้วยผ้าและการปักประดับต่างๆ ถ้าจะต้องใส่ชุดนี้นานๆ เราจะทนไหวมั้ย และเรายังอยากให้ลองชุดที่ยังไม่แน่ใจว่าใส่แล้วจะสวยรึเปล่า?เผื่อไว้ด้วยเพื่อที่จะได้มั่นใจได้ว่าตัวเองคิดไม่ผิดและเป็นการตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ออกไปเลย แต่ถ้าลองใส่แล้วกลับรู้สึกดีกว่าที่คาดไว้จะได้เปิดใจให้มากขึ้น หรือฟังคำแนะนำจากสไตลิสต์ที่ร้านเผื่อว่าจะได้มุมมองที่แตกต่างออกไป

 

3. ความสบายและความพอดีเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลัก

นอกจากความสวยงามที่เปรียบเหมือนหัวใจหลักของการเลือกชุดแต่งงานแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญเวลาลองชุดกับช่างนั้นต้องกล้าที่จะพูดตรงๆว่า ชุดหลวมเกินไป แน่นเกินไปหรือว่ากำลังพอดีเพราะถ้าแน่นเกินไปเวลาวันงานที่ต้องยืนรับแขกเป็นชั่วโมงนั้นอาจจะอึดอัดจนทนไม่ไหว แล้วถ้าในพิธีจะต้องมีการก้มกราบหรือนั่งพับเพียบอันนี้ก็อยากให้คุณเจ้าสาวได้ลองทำอิริยาบถนั้นๆ ด้วย เพราะถ้าคุณเลือกชุดเปิดไหล่ที่แพทเทิร์นของชุดพอดีแขนมากๆ รับรองว่าเป็นอุปสรรคในการก้มลงกราบแน่นอน สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาลองชุดก่อนรอบสุดท้ายนั้นควรจะเป็นหนึ่งเดือนก่อนวันงาน และรอบสุดท้ายคือภายในสองอาทิตย์ก่อนวันงานเพราะเจ้าสาวส่วนมากมักจะกังวลจากการเตรียมความพร้อมต่างๆ ทำให้น้ำหนักลดลงอีกเล็กน้อย ระยะเวลาสองอาทิตย์นั้นให้เผื่อไว้ในการที่ช่างจะเก็บรายละเอียดต่างๆ ให้สมบูรณ์ที่สุด

4. ชุดสวยแล้วแอ็กเซสเซอรี่ก็ต้องไม่พร่อง

ทุกครั้งเวลาไปลองชุดแต่งงานให้คุณพกพาเอารองเท้าส้นสูงที่มีความสูงระดับเดียวกับที่จะใส่ในวันงานไปด้วยเพื่อลองดูว่าถ้าใส่สูงเท่านี้ระดับความยาวของชายกระโปรงนั้นโอเคมั้ย ควรจะให้คุณเจ้าบ่าวมายืนเคียงข้างเพื่อดูระดับความสูงว่าเหมาะสมมั้ย  รวมถึงเครื่องประดับให้เลือกสไตล์ที่คิดว่าจะใช้กับชุดแต่งงานไปสัก 2-3 แบบเพื่อลองใส่ดูว่าอยู่ด้วยกันกับชุดแล้วลงตัวรึเปล่า แต่ถ้าที่ร้านมีบริการให้ยืมเครื่องประดับหรือรองเท้าอยู่ด้วยแล้วก็ไม่ต้องเตรียมตัวมากให้เลือกจากสิ่งที่ร้านมีมาลองแมตช์กับชุดดูก่อนถ้าของที่ร้านถูกใจก็เป็นอันว่าเพอร์เฟ็กต์ แต่ถ้าคุณต้องใช้เครื่องประดับเพชรแล้วล่ะก็ให้ดูสไตล์ที่ลองใส่แล้วเป๊ะปัง เลือกเอาแนวทางที่ถูกใจแล้วจูงมือเจ้าบ่าวถือการ์ดไปรูดปรื๊ดกันได้เลย

5. แต่งหน้าทำผมให้พร้อมอย่าคิดว่านี่เป็นแค่การลองชุดธรรมดา

ทุกครั้งที่มีเจ้าสาวมาฟิตติ้งชุดที่ร้านทางสไตลิสต์จะสอบถามข้อมูลว่าต้องการทำผมสไตล์ไหนในวันงาน เกล้าผมหรือว่าปล่อยผมเพื่อที่เราจะได้ดูว่าชุดที่คุณเจ้าสาวเลือกนั้นจะไปด้วยกันกับแนวทรงผมที่ต้องการมั้ย แม้ว่าการแต่งหน้าทำผมอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้แต่เราอยากให้ว่าที่เจ้าสาวทุกคนได้ลองสร้างลุคตัวเองขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับที่จินตนาการเอาไว้ในวันจริงเพื่อที่จะได้เห็นภาพรวมเวลาลองชุดแต่งงานเพราะจะเป็นประโยชน์กับตัวเจ้าสาวเองในการเลือกลุคหน้าผมที่ดีที่สุด แต่งหน้ามาด้วยสักนิดจะได้เพิ่มออร่าเวลาลองชุดจะทาแค่ลิปสติกอย่างเดียวก็ได้ไม่ว่ากัน เวลาที่เอารูปไปโชว์คุณพ่อคุณแม่หรือญาติผู้ใหญ่ท่านจะได้เห็นภาพในลุคที่เราตั้งใจให้ออกมาในวันงานได้มากยิ่งขึ้น

หวังว่าทิปส์ดีๆ ของเราจะเป็นประโยชน์ต่อว่าที่เจ้าสาวทุกคนนะคะ ส่วนใครที่ยังหาชุดแต่งงานในฝันไม่ได้ Lysbetha พร้อมเติมเต็มความฝันให้กับคุณเองค่ะ Realize your dream here.